วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ขนมผูกรัก


ขนมผูกรัก ต้นตำรับเจ๊ะบิลัง
Simpul kasih







    ประวัติความเป็นมา
สมัยก่อน เขาจะทำไส้ปลากินกับข้าวเหนียวอย่างเดียว แต่ไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน เพราะข้าวเหนียวจะบูด จึงได้มีการแปรรูป นำไส้มาทำเป็นขนม โดยห่อกับแผ่นปอเปี๊ยะ รับประทานยามว่าง อีกอย่างไส้ปลา ถ้าใส่ตู้เย็นแล้ว สามารถเก็บได้นานถึง 3-4 เดือน ซึ่งชาวบ้านนิยมทำกัน ช่วงฤดูปลาทูเยอะๆ เพราะสามารถ กินได้นาน และยังสร้างรายได้ ให้กับคนในชุมชนอีกด้วย ซึ่งเป็นวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนในชุมชน. ต่อมาขนมผูกรัก
เป็นขนมที่เริ่มมีชื่อเสียงของตำบลเจ๊ะบิลัง จึงทำให้มีแรงบันดาลใจว่าน่าจะส่งเสริมให้สมาชิกสตรีในพื้นที่หมู่ที่ 2 ตำบลเจ๊ะบิลัง ได้เรียนรู้วิธีการการทำขนมผูกรักอย่างจริงจัง ด้วยตนเองเป็นคนที่มีพื้นฐานในการทำขนมพื้นบ้านได้เกือบทุกชนิด จึงได้รวมกลุ่มกันทำขนมผูกรักเพื่อเป็นสินค้าโอท็อปของพื้นที่ตำบลเจ๊ะบิลัง
           วัตถุประสงค์
เพื่อส่งเสริมรายได้ให้สตรีในชุมชน นางชไมพร หมันสง่า ประธานกลุ่มส่งเสริมอาชีพสตรีเจ๊ะบิลัง(บ้านขนมผูกรัก) กล่าวว่า กลุ่มนี้ได้ตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 57 ตลอดเวลาได้ทำการปรับปรุงสูตรมาตลอดเพื่อให้ถูกปากลูกค้าและพัฒนาให้เก็บไว้ได้นานจนถึงตอนนี้ขนมผูกรักสามารถเก็บได้นานถึง 1 เดือนด้วยการผัดไส้ให้แห้งมากที่สุด และเทคนิคการใช้ไฟแรงทำให้ขนมกรอบและไม่เหม็นหืนและเน้นความสะอาด
ส่วนประกอบการทำไส้ขนม
      1. ปลาทูสด
      2. พริกแห้งใหญ่
      3. หอมแดง
      4. กระเทียม
      5. ตะไคร้
      6. น้ำกะทิ
      7. เกลือ
      8. น้ำตาล
      9. ขมิ้น
     10. ยี่หร่าหวาน
     11. ส้มแขก
     12. แผ่นปอเปี๊ยะ
     13. น้ำมัน



       กระบวนการทำขนมผูกรักขั้นตอนในการทำ
      1.นำปลาทูสดมาตัดหัว ล้างให้สะอาดแล้วนำไปต้ม
      2.นำปลามาแยกก้างออก ให้เหลือแต่เนื้อปลาอย่างเดียว
      3.นำเนื้อปลา มาตำหรือบดให้ละเอียด
      4.น้ำกะทิ , พริกแห้งใหญ่ , หอมแดง , กระเทียม , ตะไคร้ซอย , ยี่หร่าหวาน และขมิ้น มาบด        เข้าด้วยกัน
      5.นำส่วนผสมที่บดมาผสมกับเนื้อปลาทู ใส่เกลือและน้ำตาล กวนให้เข้ากัน
      6. ตั้งกระทะ ไฟปานกลาง ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในกระทะ แล้วกวนจนส่วนผสม แห้ง                ละเอียด เป็นอันเสร็จสิ้น
      7.นำแผ่นปอเปี๊ยะมาตัดเป็นชิ้น สี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยแผ่นปอเปี๊ยะ 1 อันสามารถตัดได้ 8 ชิ้น
      8.นำไส้ปลามาใส่ในแผ่นปอเปี๊ยะ แล้วผูกให้สวยงาม
      9. ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันให้ร้อน แล้วนำขนมที่ทำไปทอด จนสุกเหลือง แล้วยกขึ้นสะเด็ด น้ำมัน        แล้วใส่ภาชนะให้เรียบร้อย






ลักษณะและเสน่ห์ขนมผูกรัก



การห่อแป้งโดยการผูกให้เป็นโบว์ นั่นก็คือ ขนมผูกรักขนมกินเล่นกรุบกรอบไส้ปลา ที่มีรสชาติคล้ายขนมปั้นขลิบไส้ปลาที่เรารู้จักกันดี แต่จะมีความพิเศษที่เป็นความสะดุดตาแรกเห็นก็คือ ลักษณะการห่อที่จะผูกแผ่นแป้งให้เป็น รูปโบว์ซึ่งจะต้องใช้ความชำนาญและความตั้งใจในการผูก เสมือนใช้ความรักในการค่อยๆ ผูก เพราะไม่เช่นนั้นแผ่นแป้งอาจจะขาดหรือผูกไม่แน่นทำให้เมื่อทอดออกมาแล้วได้รูปทรงที่ไม่สวยได้ ขนมผูกรักจึงเป็นของฝากที่นิยมซื้อไปฝากคนพิเศษมากๆ เพราะเป็นเหมือนตัวแทนความรักจากผู้ให้ถึงผู้รับนั่นเอง อีกทั้งยังเป็นขนมมงคลที่ให้กันในเทศการต่างๆ เช่น เทศกาลวันฮารีรายอ , วันแห่งความรัก , และโอกาสพิเศษต่างๆ


วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2561

kata adjektif



(Kata adjektif) คำคุณศัพท์

       คำคุณศัพท์ หมายถึง คำที่อธิบายลักษณะหรือสถานการณ์ คำคุณศัพท์เป็นคำหลัก 
วิเศษวลี ที่อธิบายหรือขยายคุณลักษณะของคำนาม

รูปแบบคำคุณศัพท์ในภาษามลายูสามารถจำแนกได้ออกเป็น 9 รูปแบบ

     i.         คำคุณศัพท์รูปร่าง,ลักษณะ (Kata adjektif bentuk )
     ii.        คำคุณศัพท์วิธี (Kata adjektif cara)
     iii.       คำคุณศัพท์ระยะ (Kata adjektif jarak)
     iv.       คำคุณศัพท์ประสาทสัมผัส (Kata adjektif pancaindera)
     v.        คำคุณศัพท์ความรู้สึก (Kata adjektif perasaan )
     vi.       คำคุณศัพท์ขยายคำนามหรืออธิบายคุณลักษณะ (Kata adjektif sifatan atau keadaan)
     vii.      คำคุณศัพท์การวัด (Kata adjektif ukuran )
     viii.     คำคุณศัพท์สี (Kata adjektif warna )
     ix.       คำคุณศัพท์เวลา (Kata adjektif waktu)


    คำคุณศัพท์รูปร่าง,ลักษณะ (Kata adjektif bentuk )
         คำคุณศัพท์ที่ให้ความหมายในรูปแบบรูปร่าง,ลักษณะ
  ตัวอย่างคำ เช่น
         เรียว (bujur) , บวม (bengkok), แบน (leper)

     คำคุณศัพท์วิธี (Kata adjektif cara)
         คำคุณศัพท์เป็นคำที่ขยายให้กับคำนามและมีความหมายที่อธิบายเกี่ยวกับการกระทำนั้นๆ
   ตัวอย่างคำ เช่น
          เร็ว(laju), ช้า (lambat), เสมอ (selalu)

     คำคุณศัพท์ระยะ (Kata adjektif jarak)
          คำคุณศัพท์เป็นคำขยายคำนามและสื่อถึงระยะทางหรือเกี่ยวข้องกับช่องว่างระหว่างสองสิ่งหรือคุณลักษณะ
   ตัวอย่างคำ เช่น
          ใกล้ (dekat), ใกล (hauh)

     คำคุณศัพท์ประสาทสัมผัส (Kata adjektif Pancaindera)
            คำคุณศัพท์ที่ขยายคำนามและอธิบายเกี่ยวกับแนวคิด การมองเห็น ,การได้ยิน, ความรู้สึก, กลิ่น,การสัมผัส และรวมประสาททั้งหมด
 ตัวอย่างคำ เช่น
i.     การมองเห็น (Indera pandang)      : สวย (cantik) , ไม่สวย(hodoh), ห้าว(kacak)
ii.    การได้ยิน     (Indera dengar)        : ไพเราะ (merdu), ดังสนั่น(nyaring)
iii.   ความรู้สึก    ( Indera rasa )           : หวาน(manis), เปรี้ยว(masam), เค็ม(masin)
iv.   กลิ่น             ( Indera bau)             : เหม็น (busuk), หอม (harum)
v.    การสัมผัส    (Indera sentuh )         : หยาบ (kasar), แข็ง(keras)
vi.  รวมประสาททั้งหมด (Gabungan indera) : สงบ(aman), สบาย(selesa), สว่าง(tenteram)

      คำคุณศัพท์ความรู้สึก (Kata adjektif Perasaan )              คำคุณศัพท์ที่ขยายคำนามและอธิบายความรู้สึก
       ตัวอย่างคำ เช่น
           เกลียด(benci), ความรัก(kadih), คิดถึง (rindu)
       ตัวอย่างประโยค เช่น
           a. อาหมัดรักภรรยาของเขามาก (Ahmad amat kasih akan isterinya)

      คำคุณศัพท์อธิบายคุณลักษณะ (Kata adjektif Sifatan atau Keadaan)              คำคุณศัพท์ที่ขยายคำนามเพื่ออธิบายความหมายคุณลักษณะ
        ตัวอย่างคำ เช่น
               ดี(baik), ฉลาด(cerdik), เลว(jahat), อ่อนแอ(lemah), อาย(malu), เก่ง(pandai)

      คำคุณศัพท์การวัด (Kata adjektif Ukuran)
               คำคุณศัพท์ที่สื่อถึงการวัด ธาตุ
         ตัวอย่างคำ เช่น
               ใหญ่(besar), เบ็ก (kecil), บาน(nipis) ยาว(panjang)

      คำคุณศัพท์สี (Kata adjektif warna)
              คำคุณศัพท์ที่สื่อถึงสี
        ตัวอย่างคำ เช่น
              ฟ้า(biru), เขียว(hijau),  เเดง(merah), เหลือง(kuning), ดำ(hitam), ขาว(putih)
 
      คำคุณศัพท์เวลา(Kata adjektif Waktu)
             คำคุณศัพท์ที่สื่อถึงเวลา
        ตัวอย่างคำ เช่น
             ก่อน(awal), ตอนนี้(kini), นาน(lama), อดีต(lampau)












อ้างอิง
http://ananuda.blogspot.com/2017/09/kata-adjektif.html

kata kerja



Kata Kerja
             Kata Kerja (คำกริยา)  
                   หมายถึง คำที่แสดงอาการ สภาพ หรือการกระทำของคำนามและคำสรรพนามใน               ประโยค คำกริยาบางคำอาจมีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง บางคำต้องมีคำอื่นมา                   ประกอบ และบางคำต้องไปประกอบคำอื่นเพื่อขยายความ
                                                   
             คำกริยาสามารถแบ่งออกได้ 2 ชนิด
          1. สหกรรมกริยา (Kata Kerja Transitif)  คือ คำกริยาที่ต้องการกรรมมารองรับ 
            ตัวอย่างคำ ( Contoh Perkataan) 
                  makan (กิน)
minum (ดื่ม)
baca(อ่าน)
               
            ตัวอย่างประโยค (Contoh Ayat) 
                   - Anat minum susu  (อานัสดื่มนม )
                   - Amin baca buku ( อามีนอ่านหนังสือ )

          2. อกรรมกริยา (Kata Kerja Tak Transitif ) คือ คำกริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารับ ก็ได้               ความหมายสมบูรณ์ ชัดเจนในตัวเอง

                ตัวอย่างคำ (Contoh Perkataan )
                              menjual (ขาย)
   tidur (นอน)
   menulis (เขียน)

               ตัวอย่างประโยค (Contoh Ayat)
                 - Amad  menulis surat  (อาหมัดเขียนจดหมาย)
                 - Ibu menjual sayur di pasar (แม่ขายผักที่ตลาด)




อ้างอิง
http://rakch.blogspot.com/2017/09/kata-kerja.html

kata nama


KATA NAMA (คำนาม)
              KATA NAMA  หมายถึง คำที่ใช้เรียก ชื้อ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ทั้งที่เป็นรูปธรรม                   (Konkrit) และนามธรรม (Abstrak) หรือมีชีวิต (Hidup) และไม่มีชีวิต (Tak Hidup) เช่น
            - มนุษย์ (Manusia) เช่น แม่(ibu), พ่อ(ayah), ครู(guru) ฯลฯ 
            - สัตว์ (Binatang)  เช่น แพะ(kambing),ไก่(ayam), ปลา(ikan) ฯลฯ
            - สิ่งของ (Benda)  เช่น หนังสือ(buku), จักรยาน(basikal), โต๊ะ(meja) ฯลฯ
            - พืชพันธุ์ (Tumbuhan) เช่น กุหลาบ(mawar), ทุเรียน(durian), กะหล่ำปลี(kubis)ฯลฯ
            - ความคิด (Pemikiran) เช่น คิด(pikir), ไตร่ตรอง(renung), วิเคราะห์ (analisa) ฯลฯ
            - ความเชื่อ (Kepercayaan)  เช่น อิสลาม( Islam), พุทธ( Buda), คริสต์( Kristian) ฯลฯ
            - ความรู้สึก (Perasaan)  เช่น ชอบ(suka), เกลียด(benci), รัก(cinta), โกรธ(marah) ฯลฯ
            - รสชาติ (Rasa)  เช่น หวาน(manis), จืด(tawar), เผ็ด(pedas), ขม(pahit) ฯลฯ 
            คำนาม แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังต่อไปนี้
   1. Kata nama am (คำนามทั่วไป)
   2. Kata nama khas (คำนามเฉพาะ)
   3. Kata ganti nama (คำสรรพนาม)

                1.  คำนามทั่วไป (Kata Nama Am)
                คือ คำที่ใช้อธิบายบางสิ่งบางอย่างที่มีชีวิตเช่น คน สัตว์ สิ่งของที่ไม่มีชีวิต เช่น พืช               สถานที่ สิ่งของ เป็นต้น โดยไม่เจาะจงในสิ่งนั้นๆ เมื่อเขียนคำนามทั่วไปจะเขียนด้วย                   อักษรพิมพ์เล็ก แต่ถ้าเป็นคำที่ขึ้นต้นประโยคจะต้องเขียนด้วยอักษรพิมพ์ใหญ่เสมอ

            ตัวอย่างประโยค (Contoh Ayat)

               1. มารีณีอ่านหนังสือ ( Mareenee membaca buku.)
               2. พ่อของฉันจะไปต่างประเทศ (Bapa saya akan ke luar negeri.)
               3. แมวกำลังไล่หนู ( Kucing sedang mengejar tikus.)


                         2.  คำนามเฉพาะ (Kata Nama Khas) หมายถึง นามที่ใช้เรียกชื่อ คน สัตว์ สิ่งของ                 และสถานที่ โดยเจาะจงในสิ่งนั้นๆ เมื่อเขียนให้อยู่ในรูปประโยคจะต้องเขียนด้วยอักษรพิมพ์


           ตัวอย่างประโยค (Contoh Ayat)
              1. บ้านหลังนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของฉัน (Rumah itu milik saya.)
              2. ฉันชอบอ่านหนังสือเล่มนี้มากๆ (Saya sangat suka membaca buku ini.)
              3. พวกเขาเรียนที่มหาวิทยาลัยทักษิณ (Mereka belajar di Universiti Thaksin.)


          3. คำสรรพนาม (Kata Ganti Nama) หมายถึง คำนามที่ใช่เรียกแทน ชื่อ คน สัตว์                   สิ่งของ และสถานทซึ่งสามารถแบ่งได้ 3 ชนิด
สรรพนามบุรุษที่ 1: สรรพนามที่ใช้แทนผู้พูด(Kata Ganti Nama Diri Orang Pertama) 
                                 ได้แก่ ฉัน (saya), กู/ข้า (aku), ข้า/บ่าว (hamba) เป็นต้น


สรรพนามบุรุษที่ 2: สรรพนามที่ใช้แทนผู้ฟัง(Kata Ganti Nama Diri Orang Kedua)

                                 ได้แก่ คุณ( saudari ), เธอ(engkau), เจ้าข้า ( Tuanku) เป็นต้น


สรรพนามบุรุษที่ 3: สรรพนามที่ใช้แทนผู้ที่อ้างถึง(Kata Ganti Nama Diri Orang Ketiga)

                                 ได้แก่เขา, หล่อน ( dia ), มัน (ia) เป็นต้น



 อ้างอิง
http://katanama1.blogspot.com/
https://tatabahasainyourarea.blogspot.com/2017/09/blog-post.html



kata tugas



(Kata Tugas) คำบอกหน้าที่
        คำบอกหน้าที่ ในภาษามลายู เป็นกลุ่มที่ถือว่าจำเป็นต่อการใช้เป็นประโยค เพราะจะทำให้ประโยคนั้นสมบูรณ์มากขึ้น คำบอกหน้าที่ในภาษามลายูจะอยู่ต้นประโยค หรือต้นวลี และ/หรือท้ายประโยคก็ได้ เพื่อที่จะทำให้ประโยคนั้นชัดเจนมากขึ้น คำบอกหน้าที่ในภาษามลายูจะแตกต่างกับ คำนาม คำกริยา และคำคุณศัพท์
         คำบอกหน้าที่ คือ กลุ่มที่มีบทบาทต่างๆในประโยคโดยไม่สามารถจัดคำเหล่านี้ให้อยู่ในกลุ่มของคำนาม คำกริยา หรือคำคุณศัพท์ คำหน้าที่ๆสำคัญในภาษามลายูได้แก่

            คำเชื่อม (kata hubung)
            คำเชื่อมคือ คำเชื่อมประโยค กล่าวคือ ในประโยคอาจมีสื่อความหมายได้มากกว่าสองเรื่องในประโยคเดียว โดยใช้คำเชื่อมเป็นตัวเชื่อมเช่น และ(Dan)  และ  หรือ(atau)

ตัวอย่างประโยค : Zaki, Adli dan Iffan pergi sekolah.
                                  : ซากี อัดลี และ อิรฟาร ไปโรงเรียน

คำอุทาน (kata seru)
          เป็นคำที่จะแสดงให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น เช่น แสดงความรู้สึก โกรธ เกลียด อาย ชอบ ตกใจ เป็นต้น เช่น amboi (โอ้โห)
 ตัวอย่างประโยค : Amboi, kedekutnya orang itu!
                                     : โอโห้ ขี้เหนียวจังคนนั้น!


คำบุพบท (Kata Sendi Nama -)
  เป็นคำที่ใช้เพื่อเชื่อมต่อวลีคำนามกับคำหรือวลีในประโยค คำบุพบทต้องการวลีคำนามที่เป็นกริยาในการสร้างประโยค เช่นDia (เขา)
                  ตัวอย่างประโยค :Dia berasal dari Wilayah Jala.
                                              :เขามาจากจัหวัดยะลา
คำถาม (Kata Tanya -)
    เป็นคำที่ใช้เพื่อเป็นการตั้งคำถามมักจะอยู่ต้นประโยค เช่น เท่าไร(Berapa), อะไร(apakah)
                  ตัวอย่างประโยค : Berapa tahunkah dia berada di luar negara?
                                             : เขาอยู่ต่างประเทศกี่ปีแล้ว?
คำสั่ง (Kata Peretah-)
     เป็นคำที่บ่งบอกถึงการสั่งให้ทำ หรือ การขอร้อง หรือ การห้าม
          ตัวอย่างประโยค: Jangan kamu bermain di kawasan ini.
                                    : คุณอย่าเล่นที่บริเวณนี้
คำช่วย (Kata Bantu -)
       เป็นคำที่ทำหน้าที่ช่วยวลีกริยา วลีคุณศัพท์ จะบอกถึงเวลา
          ตัวอย่างประโยค : Kami pernah ke utara Malaysia.
                                     : พวกเราเคยไปภาคของมาเลเซียแล้ว
    
 คำปฏิเสธ (Kata Nafi-)
         เป็นคำที่บอกความไม่เห็นด้วย หรือปฏิเสธกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
          ตัวอย่างประโยค : Lelaki yang berbaju merah itu bukan ayah saya.
                                     : ผู้ชายที่ส่วมเสื้อสีแดงคนนั้น ไม่ใช่ พ่อของฉัน
    
 คำตอบรับใช่/ไม่ใช่ (Kata Pembenar -)
   เป็นคำที่แสดงถึงความที่ชัดเจน
          ตัวอย่างประโยค : Ya, esok awak boleh bercuti.
                                    : ใช่ พรุ้งนี้คุณหยุดได้
คำบอกตำแหน่ง (Kata Arah -)
   เป็นคำที่บอกตำแหน่งทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
          ตัวอย่างประโยค : Semua hidangan itu diletakkan di atas meja.
                                     : สำรับทั้งหมดนั้นถูกตั้งไว้บนโต๊ะ
คำบอกจำนวนนับ (Kata Bilangan -)
   เป็นคำบอกจำนวนของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
          ตัวอย่างประโยค : Saya menanam dua batang pokok kelapa di kebun.
                                      : ฉันปลูกต้นมะพร้าวที่สวนไว้ สอง ต้น









ขนมผูกรัก

ขนมผูกรัก ต้นตำรับเจ๊ะบิลัง Simpul kasih      ประวัติความเป็นมา สมัยก่อน เขาจะทำไส้ปลากินกับข้าวเหนียวอย่างเดียว แต่ไม่สามาร...